บรรยากาศทั่วไปของการหยุดภาคเรียน ยังคงคราคร่ำไปด้วยนักศึกษา ราวกับว่ายังมีการเรียนการสอนกันเหมือนปกติ บ้างก็ทำงาน บ้างก็เตรียมโปรเจ็ค แต่สำหรับต้าร์แล้ว เหตุผลที่ยังไม่กลับบ้านก็คือ ต้องเตรียมตัวออกค่ายกับชมรมอนุรักษ์ฯนั่นเอง ด้วยบทบาทและหน้าที่ใหม่ จึงทำให้ต้าร์อยากลองสัมผัสการทำงานนี้ดู

     หลาย ๆ ชมรมมีการจัดค่ายและทำกิจกรรมในช่วงปิดภาคการศึกษา เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนของที่นี่ ที่ต้องมีการทำกิจกรรมควบคู่ไปด้วย และชมรมอนุรักษ์ฯ ก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ชมรม ที่จัดค่ายในช่วงนี้ นั่นก็คือ “ค่ายเยาวชนรักษ์ป่าบ้านเกิด ครั้งที่ 5” ทีมงานแต่ละฝ่ายของชมรมขะมักขะเม้นเตรียมงานของฝ่ายตนเอง ก่อนจะออกปฏิบัติหน้าที่จริง โดยเฉพาะฝ่ายสันทนาการ ดูค่อนข้างจะคึกคักเป็นพิเศษ มีร้องรำทำเพลง เล่นเกมส์ ใครที่ไม่เคยสัมผัสการทำงานในฝ่ายนี้ อาจจะมองว่าเป็นฝ่ายที่สบายที่สุด แต่หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ เพราะว่ากว่าที่คน ๆ หนึ่ง จะออกไปพูดคุย กระตุ้นอารมณ์และสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนุกสนานได้อย่างที่เห็นนั้น ต้องผ่านการฝึกมามากมายเหมือนกัน ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติเลยทีเดียว

     หนึ่งเดือน ก่อนสอบปลายภาคที่ผ่านมา ต้าร์และเพื่อน ๆ ตั้งใจซ้อมและทำความเข้าใจกับการทำค่าย จนคิดว่าพอจะมองแนวทางในการทำค่ายออกบ้าง จากหนังสือคู่มือค่ายเล่มเก่า ๆ รวมทั้งคำบอกเล่าปากต่อปากจากรุ่นพี่ภายในชมรมนั่นเอง กิจกรรมทุกอย่างมีการซ้อมอย่างดีตามลำดับขั้นตอน เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติ เมื่อถึงเวลาจริง

     “อ่ะ น้อง ๆ และพี่ ๆ ทุกคนครับ เดี๋ยวผมขอเชิญประชุมกันหน่อยนะครับ”

     เสียงจากพี่หนอมบอกกล่าวให้ทีมงานทุกคนเข้ามาประชุมในห้องชมรม เพื่อชี้แจงและแจกกำหนดการค่ายในครั้งนี้ ให้กับทีมงานแต่ละฝ่าย

     เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว บรรยากาศภายในห้องชมรมดูแน่นไปถนัดตา ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องมากหน้าหลายตา มารวมตัวกันเพื่อฟังคำชี้แจงจากพี่หนอม ประธานชมรมคนเก่ง และประธานค่ายในครั้งนี้

     “เอ่าล่ะครับ เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว ผมขอเริ่มชี้แจงรายละเอียดเลยนะครับ”

     พี่หนอมบอกให้กับทีมงานทุกคน เมื่อตัวแทนแต่ละฝ่ายมาพร้อมกันแล้ว

     “นี่เป็นกำหนดการค่ายแบบละเอียดตัวใหม่นะครับ จะคล้าย ๆ กับของเดิมที่เคยแจกไป เดี๋ยวให้หัวหน้าแต่ละฝ่ายเอาไปแจกเองนะครับ เดี๋ยวผมขอเช็คดูแต่ละฝ่ายไปด้วยเลยละกันะครับ ว่าเตรียมความพร้อมไปถึงไหนกันแล้ว เพราะวันพรุ่งนี้ค่ายเราก็จะเริ่มขึ้นแล้ว”

     พี่หนอมแจกกำหนดการค่าย และชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดให้กับทีมงานทราบ และตรวจสอบความพร้อมของแต่ละฝ่ายว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ก่อนออกปฏิบัติงานในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

     “เอาล่ะครับ แต่ละฝ่ายก็มีความพร้อมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เดี๋ยวจะให้พวกเราซ้อมร้องเพลงของชมรม และพิธีเทียนซักสองรอบนะครับ เพื่อความแม่นยำ เพราะเวลาซ้อมเราค่อนข้างมีน้อย”

     พอพี่หนอมพูดจบ ต้าร์ก็หยิบกีต้าร์คู่ใจขึ้นมาบรรเลงเพลงมาร์ชของชมรม ต่อด้วยเพลงต่าง ๆ ของชมรม แล้วก็ออกไปซ้อมพิธีเทียนกันบริเวณลานอเนกประสงค์หลังอาคารส่วนกิจการนักศึกษา เมื่อการซ้อมดำเนินตามขั้นตอนไปด้วยดี พี่หนอมจึงให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน เพื่อจะได้เตรียมตัวเดินทางแต่เช้าของวันถัดไป

     รุ่งขึ้น ทุกคนรีบขนสัมภาระของตนเองขึ้นรถเมล์ของมหาวิทยาลัย เพื่อเดินทางไปรับน้อง ๆ จากโรงเรียนต่าง ๆ ที่ได้ทำหนังสือเชิญเข้าร่วมโครงการ ก่อนเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติทับลานที่ 2 เขามะค่า นั่นเอง

     เมื่อการเดินทางเริ่มขึ้น ต้าร์และเพื่อน ๆ รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ตัวเองจะได้เจอ และยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ซึ่งด่านแรกก็คือการไปรับน้อง ๆ จากโรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่เพื่อเข้าร่วมโครงการ ถึงแม้ว่าฝนจะตกแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อไปถึงทางขึ้น ทุกคนต้องขนสัมภาระของตนเองขึ้นไปยังบริเวณลานสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ ของค่าย ใครเอามาเยอะก็อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ทุกคนก็ช่วยกันไปจนถึงจุดหมายได้สำเร็จ พี่นพปล่อยให้น้อง ๆ นั่งพักกันก่อน พอให้หายเหนื่อยจะได้เริ่มทำกิจกรรม ซึ่งตลอดการทำค่ายนี้ ทีมงานของสันทนาการจะต้องเป็นผู้ดำเนินการต่าง ๆ ที่ได้วางแผนการกันเอาไว้ ซึ่งต้าร์ได้รับหน้าที่เปิดฉากค่ายนี้ก่อน เพื่อให้ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่บรรยากาศของค่าย ด้วยการร้องรำทำเพลงระหว่างพี่กับน้อง ด้วยเพลง ‘ฉันและเธอ’

     เหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในค่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ใครที่ไม่มีหน้าที่อะไร ก็จะมาช่วยทีมงานสันทนาการร้องรำทำเพลง เพื่อสร้างความครื้นเครงให้กับค่าย ทำให้บรรยากาศสนุกสนานยิ่งขึ้นเลยทีเดียว

     “น้อง ๆ ครับ ก่อนที่เราจะไปทำกิจกรรมต่อไป เราจะขาดสิ่งต่อไปนี้ไม่ได้เลยทีเดียวครับ นั่นก็คือ การแนะนำชมรมและทีมงานแต่ละคนให้น้อง ๆ ได้รู้จักกันก่อน”

     ต้าร์เปิดประเด็นเพื่อเข้าสู่การทำความรู้จักระหว่างพี่ ๆ ชมรมกับน้องค่าย ทีมงานคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้กับทีมงานที่อยู่ตามจุดต่าง ๆ มารวมตัวกันเพื่อแนะนำตัวให้น้อง ๆ ได้รู้จัก พร้อมกับร้องเพลงมาร์ชประจำชมรม

     “...เราชาวอนุรักษ์ เราชาวอนุรักษ์ เราชาวอนุรักษ์ ร่วมใจพิทักษ์ลำเนา ...”

     พอเสียงเพลงมาร์ชจบ ทีมงานแต่ละคนก็แนะนำตัวกันเสร็จสิ้นแล้ว นั่นก็แสดงว่าได้เริ่มเข้าสู่กิจกรรมค่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ทีมงานคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายไปทำงานของฝ่ายตนเอง ส่วนฝ่ายสันทนาการและฝ่ายกิจกรรม ก็ดำเนินกิจกรรมตามที่นัดแนะกันเอาไว้

     บรรยากาศในช่วงเย็น อบอวลไปด้วยกลิ่นยั่วยวนน้ำลายของอาหารที่น้อง ๆ แต่ละบ้านบรรจงทำกันออกมาด้วยฝีมือของตนเอง ซึ่งก็อยู่ในความดูแลของพี่เลี้ยง ส่วนต้าร์และเพื่อน ๆ ในฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะมาสังเกตการณ์การทำอาหารของน้อง ๆ

     “เอ... เย็นนี้พี่ ๆ จะฝากท้องไว้กับบ้านไหนดีน้า” ต้าร์แอบแซวลอย ๆ ให้น้อง ๆ ได้ยิน

     “ไม่มีเลยค่ะพี่ต้าร์” หนึ่งในน้องค่าย ตะโกนออกมา ทำให้เพื่อนๆ พากันโห่ให้กับต้าร์

     “เอ๋า...ซะงั้น งั้นพวกเรา..กลับ!!”
ต้าร์แกล้งทำเป็นชวนเพื่อน ๆ กลับ

     “เดี๋ยว ๆ ๆ ล้อเล่นน่า แหม ทำเป็นหัวล้านใจน้อยไปได้ อิอิ” น้องค่ายคนเดิมตอบ

     “ดี ๆ งั้นพี่นั่งรอล่ะนะ ที่เหลือน้อง ๆ ทำกันเองเลย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ต้าร์แกล้งน้อง ๆ ต่อ

     “...???…” น้อง ๆ มองกันแกมเคืองเล่น ๆ

     บรรยากาศกิจกรรมในช่วงค่ำก็ผ่านไปได้ด้วยดี ด้วยกิจกรรมเดินเทียนซึ่งเป็นการฝึกความกล้าให้กับน้อง ๆ โดยการถือเทียน 1 เล่ม เดินไปตามทางที่มืดมิดประมาณ 500 เมตร เพื่อทดสอบกำลังใจ แต่ก็อยู่ในการดูแลของพี่ ๆ ที่คอยซุ่มดูแลความปลอดภัยให้ หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมในวันแรก ก็มีการประชุมสรุปงานและแจ้งกำหนดการวันต่อไปจากพี่หนอม ให้ทุก ๆ คนรับทราบและขอความร่วมมือจากทุกคนให้ดำเนินการตามแผนการที่ได้ซ้อมกันมา

     รุ่งเช้า พี่เลี้ยงและทีมงานสันทนาการ ก็ปลุกน้อง ๆ ให้ตื่นขึ้นมาออกกำลังกายและเตรียมทำกับข้าวในมื้อเช้าและกับข้าวของตอนกลางวันด้วย เพราะวันนี้น้อง ๆ จะได้สัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งได้ร่วมทำกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นอยู่กลางป่า โดยมีทีมงานของฝ่ายสวัสดิการเข้าไปเตรียมการกันในป่าตั้งแต่เช้า พร้อมกับพี่ ๆ รุ่นเดอะ ที่คอยแนะนำเทคนิคต่าง ๆ อีกด้วย

     ต้าร์ ป้อม แชมป์ และแหม่ม รับหน้าที่สร้างความบันเทิงในระหว่างช่วงที่ปล่อยให้น้อง ๆ แต่ละบ้านทยอยเดินเข้าไปศึกษาธรรมชาติในป่า เมื่อน้อง ๆ กลุ่มสุดท้ายออกเดินทางได้สักพัก ทีมงานของสันทนาการจึงออกเดินทางตามไปแต่ย้อนกลับเส้นทางที่น้อง ๆ เดินกัน เพื่อไปรอน้อง ๆ อยู่บริเวณจุดรวมก่อนเข้าฐานกิจกรรมจดหมายถึงกวางน้อย ซึ่งถือว่าเป็นฐานสุดท้ายของกิจกรรมนี้

     ระหว่างการเดินทางของน้อง ๆ พี่เลี้ยงก็จะคอยอธิบายสภาพทั่ว ๆ ไปของป่าที่เห็น และอธิบายตามจุดสำคัญที่เตรียมไว้ เพื่อให้น้อง ๆ ได้สัมผัสของจริง เมื่อมาถึงจุดรวมใต้ต้นยางขนาดใหญ่ น้อง ๆ ก็ได้นั่งพัก เพื่อรอเข้ากิจกรรมต่อไปทีละคน บรรดาพี่ ๆ ที่อยู่บริเวณจุดรวมก็จะนำเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่าให้น้องๆ ฟัง เพื่อไม่ให้น้อง ๆ เกิดอาการเบื่อระหว่างนั่งรอเข้าร่วมกิจกรรมทีละคน เมื่อน้องคนสุดท้ายผ่านไป ทีมงานจึงค่อย ๆ ขยับกายและเก็บของเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกัน

     เมื่อน้อง ๆ กลับมาถึงยังที่พัก ต่างก็พูดคุยถึงเรื่องที่ตนได้พบเจอมาให้กับเพื่อนคนอื่น ๆ ฟัง อย่างสนุกสนาน ป้อมทำหน้าที่รวมน้องก่อนให้แยกย้ายกันไปอาบน้ำและทำอาหารสำหรบมื้อเย็นของน้อง ๆ

      “น้อง ๆ ครับ เดี๋ยวให้แต่ละบ้านแยกย้ายกันไปทำอาหารเย็นนะครับ ส่วนใครที่ว่างก็ไปอาบน้ำแล้วกลับมาเปลี่ยนเพื่อน ๆ ทำอาหารนะครับ คืนนี้เรายังมีกิจกรรมอีกหลายอย่าง ยังไงก็ให้พวกเราช่วยกันรักษาเวลาด้วยนะครับ เชิญน้อง ๆ แต่ละบ้านแยกย้ายได้เลยครับ”

      พอป้อมพูดจบ น้อง ๆ ต่างก็แยกย้ายไปยังจุดที่ทำกับข้าว ส่วนทีมงานก็ทยอยกันไปอาบน้ำ แล้วกลับมาทานข้าวตอน 18.00 น. เพื่อเตรียมทำกิจกรรมกันต่อไป ส่วนต้าร์หาเวลาว่างระหว่างรอที่จะทำกิจกรรมต่อไป โดยการนำกีต้าร์คู่กายออกมาซ้อมเพื่อให้เกิดความแม่นยำระหว่างที่ทำพิธีในค่ำคืนนี้ แต่ต้าร์ก็ยังอุ่นใจที่พี่เอก มือกีต้าร์ของชมรมจะมาช่วยเล่นให้

     “ต้าร์ คืนนี้ฉายเดี่ยวเลยนะ พี่จะเล่นคลออยู่ข้างหลัง” พี่เอกเข้ามาทักต้าร์

     “หา!!” ต้าร์อุทานออกมาพร้อมกับความรู้สึกอุ่นใจที่มีหายไปแว๊บนึง พอตั้งสติได้ต้าร์ก็มองหน้าพี่เอก

     “เอาน่า เล่นไปเถอะ ซ้อมมาแล้ว กลัวอะไร พี่จะคอยช่วยละกัน แต่ให้เราเป็นตัวหลักเลย”

     พี่เอกย้ำกับต้าร์อีกครั้ง เพื่อให้ต้าร์เกิดความมั่นใจ

     “เอ่อ...ผมกลัวว่าจะเล่นผิดน่ะครับ เพราะยังไม่ค่อยชัวร์เรื่องคอร์ดกีต้าร์เลยครับ”

     ต้าร์บอกพี่เอกอีกที ถึงความไม่มั่นใจของตนเอง

     “เอางี้นะ เราก็ให้เพื่อน ๆ บังให้ แล้วเราก็ดูคอร์ดอยู่ด้านหลังไปด้วย เอาน่า พี่เชื่อว่าเราทำได้ ฟังนะ... เมื่อไม่มีก้าวแรก ย่อมไม่มีก้าวต่อไป ฉะนั้น ต้าร์ต้องลองนะ”

     พี่เอกให้กำลังใจต้าร์อีกครั้ง

     “ได้ครับ ผมจะลองดู”

     คราวนี้ดูเหมือนต้าร์จะรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะคำพูดที่พี่เอกพูดกับเขานั่นเอง พี่เอกพยายามจะปั้นต้าร์ให้ขึ้นมาเป็นมือกีต้าร์ของชมรม เพราะตัวเขาเองก็ใกล้จะจบการศึกษาแล้ว ดูเหมือนต้าร์ก็เต็มใจที่จะสืบทอดสิ่งนั้นมาเหมือนกัน

     เมื่อถึงเวลา แหม่มกับแชมป์ เริ่มดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนการที่ได้เตรียมกันเอาไว้ น้อง ๆ เริ่มสนิทกันมากขึ้น ทำให้บรรยากาศคึกคักกว่าวันแรกมาก เมื่อมาถึงช่วงสำคัญของกิจกรรมในภาคกลางคืน นั่นก็คือพิธีเทียน บรรดาพี่ ๆ ก็มารวมกันอยู่รอบกองไฟร่วมกับน้อง ๆ พี่ตาตั้มเป็นประธานในพิธีเทียนเริ่มกล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ กว่าจะมาเป็นคำว่าอนุรักษ์ได้นั้น เราต้องสูญเสียและแลกด้วยอะไรมาบ้าง ตามด้วยบทเพลงต่าง ๆ ของชมรม โดยมีต้าร์เป็นผู้ร่วมบรรเลงกีต้าร์ให้ทำนองอย่างมีอรรถรส ปิดท้ายด้วยพิธีรับขวัญและร่วมทานของว่างด้วยกัน

     “เห็นไหมต้าร์ พี่ว่าเราต้องทำได้” พี่เอกเดินเข้ามาทัก หลังจากที่เสร็จกิจกรรม

     “ครับพี่ ขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจดี ๆ ที่ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นทีเดียวครับ” ต้าร์ขอบคุณพี่เอก

      ซึ่งระหว่างนี้ป้อมก็ปล่อยให้น้อง ๆ ได้พูดคุยทำความรู้จักกับรุ่นพี่ จนเวลาผ่านมาถึงประมาณ 23.00 น. ป้อมจึงรวมน้อง ๆ สวดมนต์และแจ้งกำหนดการในวันถัดไปให้ทุกคนทราบ ก่อนจะปล่อยให้น้อง ๆ กลับไปพักผ่อนกัน ส่วนทีมงานก็ประชุมสรุปงานประจำวัน แล้วแยกย้ายกันพักผ่อน

      รุ่งเช้า กิจกรรมค่ายก็ยังคงดำเนินต่อไป และสุดท้ายก็มีพิธีปิดค่ายในช่วงสาย ๆ ของวันนั่นเอง ในช่วงการเปิดใจ ก็ได้ให้น้อง ๆ แสดงความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้

      “อยากให้มีค่ายแบบนี้ต่อไปอีกครับ”

      “อยากกลับมาร่วมงานกับพี่ ๆ อีกค่ะ พี่ ๆ ทำค่ายนี้ได้ดีมาก”

      “หนูจะสานต่ออุดมการณ์ จากโครงการดี ๆ แบบนี้ต่อไปค่ะ หนูสัญญา”


      และอีกหลาย ๆ คำพูดที่กลั่นออกมาจากใจของน้อง ๆ ที่มีโอกาสได้มาสัมผัสกับการทำงานของชมรมอนุรักษ์ฯ แห่งนี้ และเมื่อทุกคนพูดจบ ก็มาถึงที่พี่หนอม ที่จะพูดเป็นคนสุดท้าย ในฐานะประธานค่าย ซึ่งพี่หนอมก็ได้ฝากข้อคิดต่าง ๆ ให้กับน้อง ๆ เก็บบันทึกเรื่องราวดี ๆ ที่ได้รับกลับไป และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของตนเอง

      “โบก...มือลา เสียงเพลงครวญมาต้องลาแล้วเพื่อน กี่ปีจะลับเลือน ฝากเพลงคอยย้ำเตือน หวลให้...”

      บทเพลงที่บ่งบอกสัญญาณแห่งการลาจากดังขึ้น ทำเอาหลาย ๆ คนถึงกับน้ำตาซึม น้อง ๆ บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ต้องปล่อยให้มันไหลพรากไปตามอารมณ์ของมัน ทำให้พี่ ๆ ที่เข้าไปล่ำลา ต้องพลอยน้ำตาซึมไปด้วย มิตรภาพและความเป็นกันเองของพี่ ๆ คงยากที่จะทำให้เยื่อใยความผูกพันขาดจากกันได้ ผ้าขาวบางผืนน้อย ได้รับการแต่งแต้มด้วยสิ่งที่เรียกว่าจิตสำนึก คงยากที่จะทำให้สิ่งนี้เลือนหายไปเช่นเดียวกัน

      หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมทั้งหมด ทีมงานก็เดินทางกลับโดยไปส่งน้อง ๆ ที่โรงเรียน แล้วจึงกลับมาที่มหาวิทยาลัย เพื่อสรุปกิจกรรมค่ายในครั้งนี้ ซึ่งแต่ละฝ่ายก็ได้พูดถึงปัญหาของฝ่ายตนเอง และปัญหาที่พบจากฝ่ายอื่น ๆ เพื่อที่จะได้เอาไปปรับในครั้งต่อ ๆ ไป ให้ดีขึ้น

     สำหรับต้าร์แล้ว นี่เป็นเพียงก้าวแรกที่เขาเพิ่งเริ่มเดินทาง ถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวแรก แต่ก็เป็นก้าวที่ได้รับกำลังใจให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น และก้าวต่อ ๆ ไปของต้าร์กำลังตามมาในอีกไม่ช้า ต้าร์ต้องฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น เพราะเขาได้ใบเบิกทางชิ้นแรกมาแล้ว ชิ้นต่อไปต้องทำให้ดีกว่าเดิม และดียิ่ง ๆ ขึ้นไป...