เมื่อบรรยากาศการสอบปลายภาค
ของภาคเรียนที่สองเสร็จสิ้นลง บรรยากาศการทำค่ายของชมรมอนุรักษ์ฯ ก็กลับมาอีกครั้ง
แต่การกลับมาครั้งนี้อาจจะแตกต่างจากการทำค่ายเมื่อครั้งที่ผ่านมา
เพราะจากการที่ต้าร์ได้ร่วมเป็นทีมงานมาก่อน กลับกลายมาเป็นน้องค่ายแทน
ถึงแม้ว่าต้าร์จะพออ่านแนวคิดการทำค่ายครั้งนี้ออก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าค่ายนี้จะมีเซอร์ไพรส์อะไรกับพวกเขาบ้าง
หลังจากที่บรรดาพี่
ๆ สัมภาษณ์น้อง ๆ เสร็จ ก็ได้ประกาศรายชื่อผู้กล้าจำนวน 50 คน ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าร่วมกิจกรรมของชมรมตามหอพัก
ซึ่งก็เป็นไปตามคาดหมาย ต้าร์กับเพื่อน ๆ ผ่านการตัดเลือก
ทุกคนครับ
เดี๋ยววันนี้ เราจะโหวตแบบเสื้อสำหรับการทำค่ายนะ ซึ่งมีผู้ส่งจำนวน
4 ราย
พี่หนอมพูดในที่ประชุม
พลางชูแบบเสื้อที่แต่ละคนออกแบบ ซึ่งหนี่งในนั้นก็มีผลงานของต้าร์อยู่ด้วย
หากใครได้เป็นเจ้าของผลงานแบบเสื้อประจำค่าย ก็จะได้รับเสื้อค่ายฟรี
1 ตัว โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และเมื่อผลการโหวตเสร็จสิ้นลง ปรากฎว่า
แบบเสื้อของต้าร์ได้รับการคัดเลือกให้เป็นแบบเสื้อประจำค่ายนี้ ซึ่งเป็นรูปตะเกียงเจ้าพายุ
ต้าร์ให้ความหมายของมันว่า
จากการที่เราได้เห็นถึงปัญหาต่าง
ๆ ก่อนการเกิดค่ายในครั้งนี้ ผมคิดว่า พวกเราได้ผ่านอุปสรรคมามากมาย
กว่าจะมาถึงวันนี้ พวกเราต้องอดทน ต่อสู้ เพื่อให้ผ่านเส้นทางตรงนั้นมาได้
เพราะพวกเรามีเกราะที่แข็งแรงที่เรียกกว่า อุดมการณ์ เปรียบเสมือน
ตะเกียงเจ้าพายุ ที่มีกระจกแก้ว คอยป้องกันแนวลม ไม่ให้ไฟแห่งความหวังที่ส่องสว่างอยู่ภายใน
ต้องมอดดับไป เมื่อแสงภายในตะเกียงนี้ ยังส่องนำทางให้เราต่อไป ย่อมทำให้เราได้ก้าวไปสู้จุดหมายปลายทางได้อย่างแน่นอน
ทุกคนนั่งฟังอย่างสงบเสงี่ยม
ราวกับฟังบรรยายวิชาเรียนในห้อง 1500
เอาล่ะครับ เดี๋ยวพี่ ๆ จะปล่อยให้น้อง ๆ ไปพักผ่อน เตรียมตัวสำหรับการเข้าค่ายในวันพรุ่งนี้นะครับ
ต่อจากนี้เดี๋ยวขอให้ทีมงานอยู่ต่อก่อนนะครับ เราจะประชุมเตรียมงานอีกนิดหน่อยนะครับ
เชิญน้อง ๆ กลับไปพักผ่อนได้ครับ
พี่หนอมปิดการประชุมสำหรับน้อง
ๆ และอยู่ประชุมเตรียมงานกันต่อ
เมื่อถึงวันทำค่าย
ทุกคนก็เดินทางมาพร้อมกันที่ห้องชมรม เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติทับลานที่
4 (เขามะค่า) ทุกคนสวมเสื้อประจำค่าย ซึ่งเป็นรูปตะเกียงเจ้าพายุ และมีชื่อค่ายอยู่ด้านบน
คือ ค่ายอบรมพี่เลี้ยง #5 ที่ต้าร์เป็นผู้ออกแบบนั่นเอง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย การเดินทางของชาวอนุรักษ์ฯ ก็เริ่มเดินทางขึ้น
เมื่อขบวนรถไปถึงจุดรวม บริเวณทางขึ้นเขามะค่า พี่นพ ซึ่งเป็นทีมงานสันทนาการประจำค่าย
ก็จัดการแบ่งกลุ่มน้อง ๆ ทั้ง 50 ชีวิต ออกเป็น 6 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มของต้าร์
เป็นกลุ่มที่ 2 ซึ่งมีพี่ทินเป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่ม และมีสมาชิกอยู่ทั้งหมด
8 คน ได้แก่ พี่จักร พี่ลูกหมู พี่อ้อน หญิง ยุรา อ้อม หนึ่ง และ ต้าร์
พี่นพปล่อยให้น้อง
ๆ แต่ละกลุ่มเดินทางขึ้นไปยังจุดทางค่าย ซึ่งระหว่างทาง ก็มีกิจกรรมฐานต่าง
ๆ ให้ต้าร์กับเพื่อน ๆ ได้ทำ เช่น กิจกรรมสัมผัสดิน การฟังเสียงธรรมชาติ
เป็นต้น เมื่อต้าร์กับเพื่อน ๆ เดินทางมาถึงยังจุดทำค่าย พี่ ๆ ฝ่ายสันทนาการก็ทำการแจกผ้าพันคอ
ป้ายชื่อ และให้งานแต่ละกลุ่มไปทำระหว่างพักเหนื่อย นั่นก็คือ ให้ตั้งชื่อกลุ่ม
เพลงและท่าประจำกลุ่ม เพื่อเอาไว้แสดงก่อนเข้ากิจกรรม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็พากันคิดเพลงและท่าเต้นกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อได้เวลา พี่นพก็ให้แต่ละกลุ่มออกมาแสดงให้เพื่อน ๆ ได้ดู
มดตัวน้อยตัวนิด เฮ่! มดตัวน้อยตัวนิด มดมีฤทธิ์น่าดู ยู้ฮู
งานเราไม่เคยหวั่น ทำงานกันสนุก ยู้ฮู ยู้ฮู
เสียงร้องพร้อมกันท่าเต้นน่ารัก
ๆ จากกลุ่มของต้าร์ ทำเอาเพื่อน ๆ หัวเราะชอบใจไม่น้อยเลยทีเดียว และเมื่อแต่ละกลุ่มออกไปแสดงท่าประกอบเพลงประจำกลุ่มครบแล้ว
พี่ ๆ ฝ่ายสวัสดิการก็ชี้แจงเรื่องสถานที่ ส่วนฝ่ายอาหารก็เข้ามาแจกจ่ายอุปกรณ์การทำอาหารและถุงยังชีพตลอด
3 วัน 2 คืน
หลังจากที่น้อง ๆ รับอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปแล้ว
ให้ตัวแทนกลุ่มมารับอาหารกับพี่ ๆ ทางด้านโน้นด้วยนะคะ
พี่ยุ้ย
สาวร่างท้วมรับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายอาหารชี้แจงให้กับน้อง ๆ พร้อมกับชี้ไปยังโรงครัวของทีมงานที่อยู่อีกด้านหนึ่งของอาคารที่พัก
หลังจากที่ทุกคนอิ่มหนำสำราญกันแล้ว
ก็เข้าสู่กิจกรรมในภาคบ่าย ซึ่งเป็นกิจกรรมฐาน เวียนกันแต่ละกลุ่ม
โดยมีทั้งหมด 5 ฐาน แต่ละฐานก็ได้สร้างความประทับใจให้กับต้าร์เป็นอย่างมาก
เพราะนอกจากจะได้ความสนุกแล้ว ยังจะได้สาระ แนวความคิดที่แฝงมากับกิจกรรมนั้น
ๆ อีกด้วย
ในช่วงเย็น
บรรยากาศภายในค่ายค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ เพราะแต่ละคนช่วยกันทำอาหารกันอย่างสนุกสนาน
ใครที่ทำอาหารไม่เป็นก็ได้ลองสัมผัสในครั้งนี้ด้วย และที่พิเศษสุด
ๆ ก็คือการหุงข้าวจากหม้อสนาม การหุงข้าวจากหม้อสนาม การหุงแบบนี้ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำเทคนิค
เพราะถ้าหุงไม่ดี อาจจะได้กินข้าวสามกษัตริย์กัน นั่นก็คือ ข้าวสุก
ข้าวแฉะ และข้าวไหม้
เฮ่ย! ต้าร์ กลุ่มนายทำกับข้าวกับอะไรอ่ะ เป้ตะโกนถาม
ผัดผักบุ้ง ไข่เจียว และปลากระป๋อง แล้วกลุ่มนายล่ะ ต้าร์ถาม
คล้าย ๆ กันเลย แต่ของเราทำต้มยำปลากระป๋องด้วย
เป้ตอบ
โห! ระดับโลก หรูจริง ๆ เดี๋ยวพาเพื่อน ๆ ลองไปชิมดูบ้างดีกว่า ว่าจะแซ่บขนาดไหน
ฮ่าอ่าฮ่า ต้าร์แอบแซว
น้อง ๆ ครับ ระหว่างทานอาหาร ให้ทยอยกันไปอาบน้ำด้วยนะครับ
พอทานอาหารเสร็จ เพราะจะได้ททำกิจกรรมในภาคกลางคืนกันต่อไป
พี่นพป่าวประกาศให้น้อง ๆ ทราบ
ข้าวเอยข้าวสุก จะต้องกินกันทุกบ้านทุกฐานถิ่น
กว่าจะมาเป็นข้าวให้เรากิน ชาวนาสิ้นกำลังเกือบทั้งปี
ต้องทนแดด ทนฝน ทนลมหนาว กว่าจะได้ข้าวจากนามาถึงนี่
คนกินข้าวควรคิดดูให้ดี ชาวนานี้มีบุญต่อเราไม่เบาเลย
ข้าวทุกจานอาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่า
ผู้คนอดอยากมีมากหนักหนา สงสารบรรดาเด็กตาดำ ๆ
เมื่อสิ้นบทสวดก่อนรับประทานอาหาร
ทุกคนก็พากันล้อมวงทานอาหารมื้อค่ำกันอย่างเอร็ดอร่อยท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพร
เมื่อทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว ก็ต่างช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด จากนั้นก็ไปรวมตัวกันบริเวณจุดรวมรอบกองไฟ
เพื่อเตรียมทำกิจกรรมต่อไป
หากพวกเรากำลังสบายจงปรบมือพลัน เสียงร้องทักทายมาจากมุมมืด
ป้าบ! ป้าบ! เสียงปรบมือดังขึ้น ราวกับนัดกันเอาไว้ก่อน
ยินดีต้อนรับน้อง ๆ เข้าสู่บรรยากาศของค่ายพี่เลี้ยง ยามพลบค่ำนะครับ
พี่นพเริ่มปรากฎตัวพร้อมกับทักทายน้อง
ๆ แต่ละกลุ่ม และถามความรู้สึกของน้อง ๆ ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร
ซึ่งบรรยากาศช่วงค่ำก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของน้อง ๆ พร้อมกับเกมส์ต่าง
ๆ ที่รุ่นพี่ทยอยขนออกมาเล่นกับน้อง ๆ
เมื่อได้เวลาพอสมควร
กิจกรรมสำคัญในยามค่ำคืนก็ได้เริ่มขึ้น พี่ ๆ ทีมงานเริ่มสะกิดน้อง
ๆ ออกไปทำกิจกรรมนั้นทีละคน ส่วนคนที่เหลือก็สนุกกันต่อรอบกองไฟกับพี่
ๆ ทีมสันทนาการ และรุ่นพี่ที่กลับมาร่วมค่ายกับน้อง ๆ
เมื่อถึงคิวของต้าร์
พี่ ๆ ทีมงานก็มาสะกิดให้ออกมานอกกลุ่ม แล้วชี้ให้ต้าร์เดินไปตามทางด้านหลังของสำนักงาน
ซึ่งจะมีรุ่นพี่รอรับอยู่ด้านหลัง ต้าร์เดินไปพร้อมกับแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องแสงให้ยามค่ำคืน
เมื่อไปถึงก็พบกับพี่เอ็มและทีมงาน นั่งรออยู่แล้ว ซึ่งก็มีเพียงแสงเทียนที่ส่องสว่างอยู่บริเวณนั้น
พี่เอ็มให้ต้าร์อ่านบทกลอนเกี่ยวกับแม่แล้วถามความรู้สึกของต้าร์
ถ้าใครได้ลองสัมผัสบรรยากาศขณะนั้น จะรู้ได้เลยว่ามันซึ้งมากขนาดไหน
เดี๋ยวพี่จะให้เราถือเทียนเล่มนี้แล้วเดินไปตามทางเรื่อย
ๆ จนกว่าจะเจอพวกพี่ ๆ ที่รออยู่ตรงปลายทาง แล้วให้เข้าไปหาพวกพี่
ๆ เค้านะ แล้วเรากลัวที่จะไปคนเดียวตามทางนี้หรือเปล่า
พี่เอ็มอธิบายพร้อมกับชี้ทางที่ต้าร์จะต้องเดินไปคนเดียว
ไม่กลัวครับ
ต้าร์ตอบกับพี่เอ็มพร้อมบอกสัญญาณว่าตนพร้อมแล้วที่จะร่วมกิจกรรมนี้
พี่เอ็มยื่นเทียนที่จุดไว้ยื่นให้กับต้าร์ และแนะนำการเดินทางให้กับต้าร์
ถึงแม้ต้าร์จะรู้ดีว่านี่คือกิจกรรมการเดินเทียน ที่เคยได้ยินมาก่อน
แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยสัมผัสเลยสักครั้ง ทำให้ต้าร์ประหม่าเป็นบางช่วงของการเดินทาง
ด้วยระยะทางกว่า 500 เมตร ระหว่างสองข้างทางก็ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าสูงท่วมหัว
มีเพียงแสงเทียนกับแสงจากดวงจันทร์เท่านั้น เมื่อถึงทางแยก ต้าร์ก็เลี้ยวขวาไปตามทางที่พี่เอ็มได้บอกเอาไว้
ต้าร์เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นแสงไฟอยู่เบื้องหน้า ซึ่งแสดงว่าเขาใกล้เสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้ว
น้องที่เพิ่งมาถึง เชิญตรงนี้เลยครับ เสียงพี่หนอมเรียกต้าร์
ที่กำลังเดินอยู่ในความมืด
อ้าวต้าร์เองเหรอ ม่ะ นั่งก่อน เป็นยังไงบ้าง กลัวหรือเปล่า
พี่หนอมทักต้าร์พร้อมกับพูดคุยเชิงปลอบ ทำให้ต้าร์รู้สึกดีมาก ๆ ต้าร์รู้สึกอุ่นใจขึ้นเมื่อได้คุยกับพี่หนอม
ราวกับว่าได้อยู่กับพี่ชายของตัวเอง พี่หนอมนั่งคุยกับต้าร์อยู่ประมาณ
10 นาที ก็มีเพื่อน ๆ ที่เพิ่งเดินมาถึงเข้ามานั่งรวมด้วย พี่หนอมก็เลยให้ต้าร์ไปรวมอยู่กับเพื่อน
ๆ ที่จุดรวม เพื่อทำกิจกรรมต่อไป นั่นก็คือ สุนทรีย์มืด
ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้น้อง ๆ ได้ระบายความในใจผ่านความมืด ลงบนกระดาษที่ทีมงานได้เตรียมไว้ให้
เมื่อทุกคนมาที่จุดรวมกันหมดทุกคนแล้ว
พี่ ๆ ก็ได้ถามน้อง ๆ ว่ากิจกรรมนี้ได้ให้อะไรกับเราบ้าง จากนั้นก็สรุปทั้งหมดให้ฟัง
สุดท้ายพี่ ๆ ก็ได้ส่งน้อง ๆ เข้านอนด้วยเพลงหวังและป่าเขา ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศค่ำคืนนี้ให้อบอุ่นเสียยิ่งกระไร
ผ่านพ้นไปกับวันแรกกับการร่วมกิจกรรมค่ายกับชมรมอนุรักษ์ จากที่เคยเป็นผู้จัด
ต้องกลายมาเป็นน้องค่าย มันก็เป็นอีกความรู้สึกหนี่งที่เกิดขึ้นกับต้าร์
ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ทำให้เข้าใจถึงกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ความประทับใจในวันแรกทำให้ต้าร์มีความสุขมาก
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะเป็นยังไงต่อ ก็คงต้องรอให้มันมาถึงเสียก่อนนั่นแหล่ะ
บรรยากาศของการได้เป็นน้องค่ายถึงจะมาทักทายต้าร์อีกครั้ง...
|